สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา


สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยา

ตามตำนานเล่ากันมาว่า บริเวณที่ตั้งจังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน เดิมเป็นเมืองใหญ่ชื่อว่า เมืองสาเกตนคร (อาณาจักรกุลุนทะนคร) เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่โบราณกาล มีเมืองขึ้นถึงสิบเอ็ดเมือง (ในสมัยโบราณนิยมเขียนสิบเอ็ด เป็น ๑๐๑ คือ สิบกับหนึ่ง) มีทางเข้าสู่เมืองถึงสิบเอ็ดประตู มีเจ้าผู้ครองนครเรียกว่าพระเจ้ากุลุนทะ มีเชื้อสายสืบสันติวงศ์ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี เมืองสาเกตนครหรืออาณาจักรกุลุนทะนคร นอกจากจะมีประตูและเส้นทางเข้าสู่เมืองถึงสิบเอ็ดทางแล้ว ยังมี รหัส ควบคุมความปลอดภัยความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง เช่น มีวัดตามรายทางเข้าเมือง และมีปี่ซาววา (ซาว เป็นภาษาอีสานหมายความว่า ๒๐) สามารถส่งสัญญาณเข้าสู่ตัวเมืองบอกข่าวสาร แจ้งเหตุร้ายดีที่จะมาถึงเมืองสาเกตนครให้ทราบล่วงหน้าได้เป็นอย่างดีเมืองสาเกตนครหรืออาณาจักรกุลุน-ทะนครจึงเป็นอาณาจักรที่จัดระบบการปกครองและรัฐประศาสนศาสตร์แตกต่างไปจากอาณาจักรอื่น ๆ
สมัยพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช เมืองขึ้นกับเมืองสาเกตนครทั้งสิบเอ็ดเมืองคือ
() เมืองเชียงเหียน        (บ้านเชียงเหียน อำเภอเมืองมหาสารคาม)
() เมืองฟ้าแดด            (บ้านฟ้าแดดสูงยาง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์)
() เมืองสีแก้ว              (บ้านสีแก้ว  อำเภอเมืองร้อยเอ็ด)
() เมืองเปือย              (บ้านเมืองเปือย  อำเภอเมืองร้อยเอ็ด)
() เมืองทอง               (บ้านเมืองทอง  อำเภอเมืองร้อยเอ็ด)
() เมืองหงษ์               (บ้านเมืองหงษ์  อำเภอจตุรพักตรพิมาน)
() เมืองบัว                 (บ้านเมืองบัว  อำเภอเกษตรวิสัย)
() เมืองคอง                (อยู่บริเวณ อำเภอเมืองสรวง) อำเภอสุวรรณภูมิ)
() เมืองเชียงขวง                   (บ้านจาน  อำเภอธวัชบุรี)
(๑๐) เมืองเชียงดี           (บ้านโนนหัว  อำเภอธวัชบุรี)
(๑๑) เมืองไพ                (บ้านเมืองไพร  อำเภอเสลภูมิ)
และในสมัยพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราช อาณาจักรกุลุนทะนครก็ถึงคราวเสื่อม เมืองขึ้นต่างๆ ทั้งสิบเอ็ดหัวเมืองจึงกระด้างกระเดื่อง ทำตัวกบฏกับเมืองสาเกตนคร ต่างยกทัพมารบราฆ่าฟันกัน ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็จับพระเจ้าสุริยวงศาไชยเชษฐาธรรมิกราชสำเร็จโทษ ราษฎรที่เหลือรอดตายก็อพยพทิ้งฐานไปทำมาหากินและตั้งถิ่นฐานใหม่
แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน เดิมเป็นดินแดนที่เรียกว่าอาณาจักรสุวรรณภูมิ แบ่งแยกอำนาจการปกครองเป็น ๓ อาณาเขต คือ
. อาณาเขตทวารวดี อยู่ตอนกลาง มีเมืองนครปฐมเป็นราชธานี
. อาณาเขตยาง หรือโยนก อยู่เหนือ มีเมืองเงินยางเป็นราชธานี
. อาณาเขตโคตรบูร ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมทั้งฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง มีเมืองนครพนมเป็นราชธานี
ในสมัยนั้นชนชาติเขมรหรือขอมเป็นชนชาติที่เจริญรุ่งเรืองกว่าชนชาติอื่นใดในภูมิภาคนี้ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากชาวอินเดีย ต่อมาขอมก็มีอำนาจครอบครองอาณาจักรนี้เหนือชนชาติอื่นและได้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณาเขตต่าง ๆ รวมทั้งพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในอาณาเขตโคตรบูรก็เป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นในสมัยขอมเรืองอำนาจ หลักฐานที่ยังปรากฏได้แก่
ที่อำเภอพนมไพรยังปรากฏมีซากแสดงภูมิฐานที่ตั้งเมือง เป็นรูปสระรอบ ๆ แสดงว่าเป็นคูเมือง ใกล้สระด้านในเป็นรูปเนินดินสูงแสดงว่าเป็นกำแพงเมือง ตอนกลางมีสระโชติ (สระขี้ลิง) รอบ ๆ สระเป็นเนินสูง ลักษณะเป็นเมืองเก่า และมีแผ่นหินทำเป็นรูปเสมาจมในพื้นดินกว่าสิบแผ่น ซึ่งแสดงว่าเป็นศิลปการสร้างของขอม จึงสันนิษฐานว่าพวกขอมเป็นผู้สร้างเมืองนี้ไว้และยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่ต่อมาเข้าใจว่าอพยพไปอยู่ที่อื่น ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการศึกสงคราม หรือโรคระบาด
กู่กาสิงห์ ในท้องที่อำเภอเกษตรวิสัย มีลักษณะเป็นปรางค์กู่ที่ก่อสร้างด้วยศิลาแลง รูป   สี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละ ๔๐ เมตร สูง ๘ เมตร มีประตูเข้าออกทั้งสี่ด้าน ภายในมีศิลาแลงวางทับกันเป็นชั้น ๆ ขนาดกว้างด้านละ ๙ เมตร สูง ๒ เมตร ทางด้านทิศตะวันออกสร้างเป็นบันไดด้วยศิลาแลง มีหินแกะสลักเป็นรูปสิงโต ขนาดใหญ่นั่งตรงเชิงบันได จำนวน ๒ ตัว ถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏว่าสร้างในสมัยใด แต่รูปลักษณะของโบราณสถานนี้เข้าใจว่าสร้างในสมัยเดียวกับปราสาทหินพิมาย
อีกแห่งหนึ่ง คือ กู่คันธนาม ในท้องที่กิ่งอำเภอโพนทราย สร้างด้วยศิลาแลงวางซ้อนกันเป็นรูปลักษณะเหมือนกับปราสาทหินพิมายแต่มีขนาดเล็กกว่าปราสาทหินพิมายมากข้างในมีพระเทวรูปที่สร้างในสมัยขอม
จากหลักฐานซากโบราณสถานเหล่านี้พอจะเป็นเหตุอนุมานได้ว่า อาณาเขตพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดปัจจุบัน เป็นเมืองที่ขอมสร้างขึ้นในสมัยเดียวกับขอมสร้างปราสาทหินพิมาย และอาณาบริเวณนี้คงเป็นดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้น และได้เสื่อมลงตามที่ชนชาติขอมเสื่อมอำนาจลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น